สารจากคณะกรรมการบริษัท


นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช
(ประธานกรรมการ)

ในปี 2565 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยโดยรวมฟื้นตัวจากปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

ทั้งนี้กลุ่มยานยนต์โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2565 มียอดการผลิตรถยนต์จำนวน 1,883,515 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 จากปี 2564 ที่จำนวน 1,685,705 คัน โดยมียอดขายรถยนต์ในประเทศทั้งสิ้นจำนวน 849,388 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่จำนวน 759,119 คัน ในขณะที่ยอดรถยนต์ส่งออกจำนวน 1,000,256 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับปี 2564 จำนวน 959,194 คัน ส่วนยอดการผลิตรถกระบะ 1 ตัน รวมรถกระบะดัดแปลงจำนวน 1,242,658 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่จำนวน 1,050,202 คัน


นายอังกฤษ รุ่งโรจน์กิติยศ
(ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร)

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวมทั้งสิ้น 4,217.2 ล้านบาท ในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จาก 3,875.6 ล้านบาท ในปี 2564 โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 664.1 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานอยู่ที่ 0.435 บาท/หุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.8 เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 503.7 ล้านบาท

ในปี 2564 เนื่องจากการฟื้นตัวของร่ายได้จากการขายตามสภาวะของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศประกอบกับมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในประเทศสำหรับปี 2565 ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การรักษาตลาดการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนเครื่องยนต์และชิ้นส่วนรถกระบะ 1 ตัน พร้อมกับการเข้าไปในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า(EV) มากยิ่งขึ้น รวมทั้งชิ้นส่วนที่ไม่ใช่รถกระบะ 1 ตัน (Non-Pickup) ได้แก่ รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (Big Bike) รถบรรทุกขนาดใหญ่ (Big Truck) รถยนต์นั่ง (Passenger Car) รวมไปถึงการผลิตชิ้นส่วนที่ไม่ใช่ยานยนต์ เช่น เครื่องจักรกลทางการเกษตร (Agricultural Machinery) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (Home Appliance) เป็นต้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและขยายฐานธุรกิจให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตามการดำเนินงานของบริษัทย่อยที่ต่างประเทศจากภาระถดถอยของอุตสาหกรรมยานยนต์ในเขตภูมิภาคยุโรป อันมีสาเหตุจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 และการขาดแคลนชื้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สถานการณ์สงครามรัสเชีย - ยูเครน และวิกฤตพลังงานในภาคพื้นยุโรป ทำให้ลูกค้าหลักได้ยกเลิกคำสั่งซื้อมีผลให้บริษัทย่อยที่ประเทศฮังการีได้ยุติการดำเนินงานและบริษัทย่อยอีกบริษัทอยู่ที่ประเทศเยอรมันได้ประสบภาวะการขาดสภาพคล่องจนต้องเข้าสู่กระบวนการ Insolvency ในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ จะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนในงบการเงินรวมของบริษัทฯ อีกต่อไป

สำหรับความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัทฯ และบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืน ดำเนินกิจกรรมต่างๆ คำนึงถึงประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและยึดมั่นการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดีปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน บริษัทฯมุ่งมั่นในการพัฒนาส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมและชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุมชนใกล้เคียงให้มีคุณภาพดีขึ้นพร้อมๆ ไปกับการเติบโตของบริษัทฯ เป็นผลให้บริษัทฯ ได้รับการพิจารณาจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเข้าเป็นหนึ่งในรายชื่อ "หุ้นยั่งยืน" (Thailand Sustainability Investment หรือ THSI) ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน

สุดท้ายนี้ ในนามของคณะกรรมการบริษัท ขอขอบคุณผู้ถือหุ้น ผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานและผู้บริหาร สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมาคณะกรรมการบริษัทจะ ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งสภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อให้บริษัทฯเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป