ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2556
10 December 2013
บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าระหว่างปี 2553 ปี 2554 และ ปี 2555 เท่ากับ 2,790.6 ล้านบาท 3,174.3 ล้านบาท และ 5,293.7 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 99.9 ร้อยละ99.8 และ ร้อยละ 99.8 ของรายได้รวมตามลำดับ และคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 37.7 ต่อปี โดยการเพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักๆ มาจาก การเพิ่มขึ้นของยอดขายในลูกค้าเก่าที่เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทย และการได้สัญญากับผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่ 1 รายซึ่งเริ่มผลิตในช่วงปลายปี 2554 ประกอบกับการที่บริษัทฯ หันมาจับตลาดลูกค้าที่เป็น OEM Supplier Tier 1 มากขึ้น ขณะเดียวกันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ก็เพิ่มขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28.4 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 28.8 ในปี 2554 และเพิ่มเป็น ร้อยละ 35.2 ในปี 2555.
สำหรับงวดเก้าเดือนแรก ปี 2556 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 4,048.5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้า เท่ากับ4,035.7 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.7 ของรายได้รวม และมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 31.8 โดยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงหลักๆ มาจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของเครื่องจักรสำหรับโครงการในอนาคตซึ่งยังไม่เริ่มรับรู้รายได้จึงทำให้ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากรในการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาล และจากการที่บริษัทฯ มีพนักงานเพิ่มขึ้น
ในส่วนของต้นทุนการขายประกอบไปด้วย ต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ค่าซ่อมแซมและค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยบริษัทฯ มีต้นทุนการขายสำหรับปี 2553 ปี 2554 ปี 2555และงวดเก้าเดือนแรกปี 2556 เท่ากับ 1,996.7 ล้านบาท 2,259.1 ล้านบาท 3,431.9 ล้านบาท และ 2,753.5 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 71.5 ร้อยละ 71.0 ร้อยละ 64.7 และ ร้อยละ 68.0 ของยอดขายรวมตามลำดับ ซึ่งสัดส่วนที่ลดลงมาจากการผลิตที่สูงขึ้นทำให้บริษัทฯ มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายคงที่ (fixed cost) ที่ลดลง
ทั้งนี้ ในงวดเก้าเดือนแรกปี 2556 บริษัทฯ มีสัดส่วนต้นทุนขายต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของเครื่องจักรสำหรับโครงการในอนาคตที่บริษัทฯ ได้สั่งซื้อแล้วแต่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้มีการเริ่มการผลิตจริง เช่น โครงการที่จะเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงปี 2557 เป็นต้น และการเริ่มต้นผลิตชิ้นส่วนของโครงการในอนาคตบางโครงการได้ถูกเลื่อนไปจากแผนเดิมที่จะเริ่มผลิตภายในปี 2556 เป็น เริ่มผลิตในช่วงต้นปี 2557 เนื่องจากลูกค้าขอเลื่อนวันเริ่มต้นผลิต
บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับปี 2553 ปี 2554 ปี 2555 และงวดเก้าเดือนแรกปี 2556 เท่ากับ 117.8 ล้านบาท 122.0 ล้านบาท 160.5 ล้านบาท และ 135.7 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 4.2 ร้อยละ 3.9 ร้อยละ3.0 และร้อยละ 3.4 ต่อรายได้จากการขายทั้งหมดตามลำดับ โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากร ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ค่าสาธารณูปโภค ค่าธรรมเนียมวิชาชีพ ค่าซ่อมแซมและค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอื่นๆ
การที่บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ จากการขายที่ลดลง ทำให้กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ ดีขึ้นเป็นลำดับ โดยกำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก675.5 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 788.6 ล้านบาทในปี 2554 และเพิ่มขึ้นเป็น 1,704.9 ล้านบาทในปี 2555 ตามลำดับ และอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 24.2 เป็นร้อยละ 24.8 และเพิ่มเป็นร้อยละ 32.2 ตามลำดับ
สำหรับงวดเก้าเดือนแรก ปี 2556 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 1,157.3 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ ร้อยละ 28.6 ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากบริษัทฯ มีต้นทุนบุคคลากรในการผลิตที่สูงขึ้น และการรับรู้ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของโครงการในอนาคตที่ยังไม่เริ่มการผลิตเมื่อพิจารณาฐานะทางการเงิน พบว่า บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2553 ปี 2554 ปี 2555 และณ วันที่ 30 กันยายน 2556 เท่ากับ 4,124.7 ล้านบาท 5,072.8 ล้านบาท 5,944.6 ล้านบาท และ 5,722.9 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 23.0 ในปี 2554 และ ร้อยละ 17.1 ในปี 2555 ตามลำดับ โดยมีสาเหตุหลักมาจากลูกหนี้การค้าและเงินสดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามการขยายตัวของยอดขาย และการลงทุนเพิ่มเติมในอาคารและอุปกรณ์ ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้พอเพียงต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้น สำหรับงวดเก้าเดือนแรกปี 2556 สินทรัพย์ของบริษัทฯ ลดลงเล็กน้อยเนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการขายเครื่องจักรเก่าที่ไม่ได้ใช้ และเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ลดลงเล็กน้อยจากการที่บริษัทฯ มีการจ่ายเงินปันผล
หนี้สิ้นรวมของบริษัทฯ ณ วันที่สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2553 ปี 2554 ปี 2555 และ ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 มีมูลค่าเท่ากับ 1,032.1 ล้านบาท 1,191.6 ล้านบาท 803.7 ล้านบาท และ 4,259.0 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ15.5 ในปี 2554 และลดลงร้อยละ 32.6 ในปี 2555 ซึ่งหนี้สินรวมที่ลดลงในปี 2555 มีสาเหตุมาจากการจ่ายคืนเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้น ซึ่งทำให้เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้นลดลงสุทธิ 530 ล้านบาท ในปี 2555 ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่ได้มีภาระหนี้สินระยะยาวแต่อย่างใด โดย การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของหนี้สินรวมของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 มาจากการที่บริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผล ทำให้บริษัทฯ มีเงินปันผลค้างจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 3,193.7 ล้านบาท สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันสิ้นรอบบัญชี ปี 2553 - ปี 2555 เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกับผลการดำเนินงาน โดยมีมูลค่า เท่ากับ 3,092.6 ล้านบาท 3,881.2 ล้านบาท และ 5,140.9 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 นั้น บริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1,464.0 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างปี 2556 รวมทั้งสิ้น 4,840.2 ล้านบาท